ครึ่งทางของหัวใจ - ครึ่งทางของหัวใจ นิยาย ครึ่งทางของหัวใจ : Dek-D.com - Writer

    ครึ่งทางของหัวใจ

    เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของคนหัดเขียนที่อยากเขียนนิยาย เรื่องราวของนักอยากเขียนที่มีโอกาสรู้จักนักเขียนผ่านทางออนไลน์แล้วนัดมาเจอกันเพื่อ หัดเขียน

    ผู้เข้าชมรวม

    304

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    304

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 พ.ย. 53 / 03:45 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    นักอยากเขียนสาวสวย...ฝันของเธอคือ  มีนิยายเป็นของตัวเองสักเรื่อง

    นักเขียนหนุ่มหล่อ...เขาคือคนที่จะพาสาวน้อยไปสู่ฝันนั้น

    คนสองคนจึงนัดเจอกัน  โดยที่หญิงสาวบอกว่า  สถานที่นัดพบต้องเป็นครึ่งทางระหว่าง  เขาและเธอ

    สุดท้ายแล้ว... 
    นักอยากเขียนจะมีนิยายเป็นของตัวเองไหม  และคนที่พามาหัดเขียนจะมาครึ่งทางดังว่าหรือเปล่า  ติดตามกันได้ใน  ครึ่งทางของหัวใจ 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      ครึ่งทางของหัวใจ……ณดา 

       

      ความรัก.....ภูเขาสูงใบไม้เขียว......

      ชายสูงวัยในเครื่องแบบยกมือที่รับใช้เจ้าของมาเนิ่นนานจนเห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาขึ้นเหนือศีรษะ จับเชือกที่ห้อยลงมาตวัดข้อมือเบาๆ  สั่นระฆังที่แขวนอยู่สถานีแห่งนี้  เสียงกังวานใสที่ดังออกมาจากระฆังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ  แก๊ง...แก๊ง   แก๊ง..แก๊ง

      สาวสวยหน้าใส  ไร้เครื่องสำอางบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในมือ  ดวงตากลมโตกระพริบเล็กน้อยเพื่อปรับสายตาที่เพิ่งละจากตัวหนังสือ  ลุกยืนยืดตัวขึ้นตรง  เหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ  เอี้ยวตัวไปมา บิดซ้ายทีขวาทีแก้ความเมื่อยขบ  หันหน้าไปด้านซ้ายมือก้มหยิบกระเป๋าเต็นท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นคล้องไหล่  มือคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก  ขายาวก้าวเดินตรงลิ่วมายืนรอที่ชานชาลา   ขบวนรถไฟเที่ยวกลับเข้าเทียบชานชาลาตรงเวลาหกโมงสิบนาทีไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่นาทีเดียว  เจ้าม้าเหล็กขบวนนี้จะนำพาเธอไปยังเส้นทางแห่งฝัน

      แก๊ง...แก๊ง...แก๊ง   แก๊ง...แก๊ง...แก๊ง...เสียงระฆังดังขึ้นอีกรอบ   เสียงหวูดกรีดร้องโหยหวน  รถไฟเริ่มขยับ  นั่นคือ...สัญญาณแห่งการเริ่มต้น   การเดินทางจากสถานที่หนึ่งเคลื่อนไปยังสถานที่หนึ่ง  เกิดขึ้น หมุนเวียนอย่างนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   การเริ่มออกเดินทางของม้าเหล็กจากสถานีที่เก่าแก่พอๆ กับอุปกรณ์ทุกชิ้นในสถานีรถไฟแห่งนี้  ได้นำพาหญิงสาวผู้หลงใหลในอารมณ์ของตัวอักษรที่ผ่านเข้ามาในม่านสายตา เล่มแล้ว  เล่มเล่า ออกเดินทางไปสู่โลกที่เธอฝันถึง...นักเขียน

      ที่นั่งชั้น 3 ในโบกี้รถไฟ   บนเก้าอี้ไม้แข็งไม่มีเบาะนุ่มรองรับร่างระหง   แต่กระนั้นที่ตรงนี้ได้โอบล้อมร่างบางไว้เพื่อให้หล่อนได้ซุกซ่อนแววกังวลจากสายตาของเจ้าของที่นั่ง   ไม่ปล่อยโอกาสให้ใครได้สัมผัสสายตาหวาดหวั่นนั้น   เสียงพูดคุยแผ่วๆ จากเพื่อนร่วมทางไม่สามารถผ่านเข้ามากระทบประสาทพอที่จะฉุดเธอขึ้นจากจิตใจที่กังวลอยู่ได้      นี่เป็นครั้งแรกสินะ  ที่เธออาจหาญเดินไปพบใครสักคนที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า  หรือได้ยินเสียงเขามาก่อน  ทำไมเธอถึงกล้านะ? ...ต้องกล้าสิ  ไม่กล้าจะทำได้เหรอ  เธอคิด  ถามและตอบตัวเองอยู่ในใจ  ไม่อาจมีใครแม้สักคนล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเธอในเวลานี้

      ใบหน้างามหวานละมุนก้มมองนาฬิกาสายหนังที่ข้อมือ  เธอเป็นคนที่มีชีวิตขึ้นกับเวลามาตลอด ไม่เคยกลัวการเดินของเวลา  แต่ตอนนี้การเดินทางของเวลากลับเป็นสิ่งที่น่ากลัว  น่าหวาดหวั่นสำหรับเธอ   เธอรูสึกกลัวสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าเมื่อเวลานั้นเดินทางมาถึง   อีกกี่ชั่วโมง?...อีกนานแค่ไหน?  กับคนที่จะเจอกันครั้งแรกหลังจากได้สื่อสารผ่านโลกไร้สาย ไร้พรหมแดนจะเป็นอย่างไร?  จิตใจที่เคยพองโตเมื่อครั้งแรกที่รับรู้เรื่องการนัดพบเจอกลับมีความหวาดกลัวแทรกเข้ามาแทนที่     ใครจะไม่กลัว ที่บอกว่ารู้จัก  รู้จักมากแค่ไหน?  บอกกันเป็นตัวหนังสือผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์  เสียงที่ได้ยินผ่านมาทางโทรศัพท์  มีใครไหมใครจะรู้ว่า  นั่นคือความจริง    เสียงพึมพำแผ่ว ๆ ผ่านริมฝีปากบาง  สีชมพูเรื่อ คล้ายเสียงกระซิบบอกตัวเอง 

      ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวย สีน้ำตาลอ่อนสะบัดไปมา   สายตาละจากนาฬิกาเรือนสวยมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ ผู้คนยังบางตาคงเป็นเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มากอีกทั้งบรรยากาศครึ้มและน้ำจากฟ้าคงหยาดลงมาในไม่ช้า  หลังบางของหญิงสาวผ่อนเอนแนบชิดพนักพิง ค่อยๆ ผ่อนศีรษะลงช้าๆ วางไปบนพนักพิง  หลับตาลงปิดสนิท  มุมปากยกขึ้นน้อยๆ มองดูคล้ายคนอมยิ้ม เธอสูดหายใจลึกรับลมเย็นยามเช้าที่โชยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้าสู่ปอด  ใบหน้าสวยสัมผัสความสดชื่นจากละอองฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มองอย่างไรก็ไม่เคยเห็นเส้นที่สิ้นสุดนั้น  ปล่อยใจไปกับเวลาที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเจอ เขาคนนั้นแน่นอน ไม่มีทางหันหลังกลับแล้ว  เขาคงรออยู่นะ เสียงดังๆ หลุดออกจากริมฝีปาก   เสียงนั้นดังมากพอที่จะดึงความสนใจจากเพื่อนร่วมทางให้หันหน้ามามองเธอ  หญิงสาวที่นั่งอยู่คนเดียวที่ม้านั่งยิ้มกว้าง ก้มศีรษะน้อยๆ แสดงความขอโทษเพื่อนร่วมทาง   

      เฮ้อ... เธอถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อคิดได้ว่าเธอคงคิดออกมาเสียงดังไปหน่อย   ความเครียดในใจได้ผ่อนคลายลงพร้อมกับบอกตัวเองในใจอีกครั้งว่า   อย่างน้อยที่สุดการเดินทางของฉันครั้งนี้ฉันเดินไปแค่ครึ่งทาง ไม่ได้เดินไปสุดทางซะเมื่อไหร่กัน แล้วจะมานั่งกลัวอะไรนักหนา ใบหน้าสวย ผิวนวลเนียนระบายยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กที่เรียงกันอย่างมีระเบียบพร้อมกับยืดตัวขึ้นอีกครั้งอย่างคนที่ตัดสินใจและยอมรับกับความคิดของตัวเองแล้ว

      หนังสือเล่มหนาบันทึกร้อยวัน   ฉันจะเขียนนิยายให้จบแรงบันดาลใจของสาวเฟ้อฝันถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อฆ่าเวลาร่วมหกถึงชั่วโมงที่กำลังเดินไปข้างหน้าให้หมดไป   จิตใจที่กังวล  สับสน  หวาดกลัวปลาสนาการไปสิ้นพร้อมๆ กับเวลาที่เลยผ่านเหมือนละอองฝนที่ตกสู่พื้นดิน     สาวสวยยิ้มให้ตัวเองจนตายิบหยี  สูดลมหายใจเข้าลึกสร้างพลังใจขึ้นมาให้พร้อมรับกับสถานการณ์ในหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าที่เธอยอมเอาเวลาแห่งความหรรษาที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละปีมาใช้ในการสร้างฝันครั้งนี้ให้เป็นจริง  

      ฝันของฉัน...ฝันของฉัน คือ อะไรนะ  อ๋อ....อ๋อ...อ๋อ...รู้แล้ว

       

      เขียนนิยายให้จบสักเรื่อง   มีนิยายเป็นของตัวเองสักเล่ม   นี่แหละ...ฝันของฉัน  ฝันของผู้หญิงชื่อ...ญดา

                       

                     

                      ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ  แดดอ่อนแสงลง  ลมเย็นๆ ทอดตัวอ้อยอิ่งเข้ามาในสถานีเป็นระยะ  อ่อนโยนราวกับจะกระซิบบอกผู้ที่ยืนรอคอยว่าเวลากำลังจะมาถึง  ผู้คนรอบๆ สถานีดูบางตา ความเงียบของสถานที่  สายลมพัดแผ่วๆ กลับไม่ทำให้ใจของหญิงสาวลดความร้อนรุ่มและสงบลงได้   ญดาคิดว่าเธอทำใจได้แล้วในการที่จะเจอคนที่เธอไม่รู้จัก แต่พอเวลามาถึงเธอกลับขลาดกลัวขึ้นมาอีกรอบ หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว พลันสายตากระทบกับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง เสื้อยืดลายขวางสีน้ำตาลตัวไม่ใหญ่นักอยู่บนตัวเขาทำให้มองเห็นมัดกล้ามใต้ผ้าผืนนั้น  กางเกงยีนส์พอดีตัวที่เขาใส่อยู่ทำให้มองเห็นช่วงขายาว  รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสำหรับลุยได้ทุกสถานการณ์ที่คงผ่านการใช้งานมานานแล้วนั่นอีก   เธอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว  ใช่แน่คงเป็นเขานั่นแหละ  ไฟ  ผู้ชายคนที่เธอนัดเจอวันนี้  พลันเธอนึกได้ปากไวเท่าความคิด  กล่าวคำทักทายออกไป

      สวัสดีค่ะ  คุณไฟใช่ไหมคะ?หญิงสาวกล่าวสวัสดีและก้มศีรษะลงเล็กน้อย

      ใช่ครับ...ผมไฟครับ  คุณคงเป็น...อืม...คุณไอซ์ใช่ไหมครับ?  ชายหนุ่มกวาดสายตาอย่างรวดเร็วมองหญิงสาวที่ยืนตรงหน้า

      ใช่ค่ะ  ฉันชื่อไอซ์ค่ะ ยินดีที่รู้จักอย่างเป็นทางการอีกรอบนะคะ  มาถึงนานแล้วเหรอคะ  ฉันลงรถไฟมามองไม่เห็นคุณอยู่ตรงนี้นึกว่ายังมาไม่ถึง

      อืม...ผมเดินไปซื้อของมาครับ ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยกถุงพลาสติกในมือให้หญิงสาวดู  ผมลืมเอาของใช้มานิดหน่อยเลยเดินไปใกล้ ๆ แถวนี้เอง เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ คุณคงไม่ได้รอนานเกินไปนะครับ?  ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม  ส่งยิ้มให้สาวสวยที่ยืนตรงหน้า  เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างคนสองคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกได้เป็นอย่างดี

      ไม่ค่ะ  ฉันเพิ่งมาถึงเหมือนกัน  เดินลงมายังไม่วางของเลยก็หันมาเจอคุณเข้าพอดี  หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง หันหน้าหันหลังมองรอบ ๆ ตัว

      แล้วกระเป๋าคุณไฟล่ะคะ  วางอยู่ไหน ?

      ชายหนุ่มมองข้ามศีรษะหญิงสาวแลสายตาเลยไปด้านหลัง  โน่นครับ ผมวางไว้ตรงโน้นแน่ะเดินไปซื้อของขี้เกียจถือเลยวางไว้ที่นั่งรอรถน่ะครับ  สายตาของหญิงสาวมองตามสายตาของเขาไป

      อุ๊ย...ทำไมเยอะนักล่ะ  คุณขนอะไรมาบ้าง  ของฉันมีแค่นี้เอง เขาเรียกว่าสองสะพายกับสองมือถือค่ะ หญิงสาวพูดพร้อมกับยกกระเป๋าถือให้ชายหนุ่มดู

      ผมก็มีไม่เยอะหรอกแต่ของของผมชิ้นใหญ่  ผมขี้หนาวต้องหอบผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยถึงมันจะไม่ใช่ผ้าห่มนวมผืนใหญ่ ๆ  แต่มันก็ใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมต้องเพิ่มกระเป๋าขึ้นมาอีกใบหนึ่งต่างหากเลยแหละ  และที่สำคัญมันต้องเป็นผ้าห่มที่ผมใช้ประจำด้วย ถ้าไม่เป็นแบบนี้  คงมายืมเอากับเพื่อนแถวนี้  ไม่ต้องหอบมาเอง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พูดแบบอาย ๆ เมื่อคิดว่าตัวของตัวเองกับสิ่งที่คนอื่นมองเขาไม่เหมือนกันเลย  เพราะหลายๆ ครั้งที่เขาเดินทางไปท่องเที่ยวสิ่งที่เขาขาดไม่ได้เลยคือผ้าห่ม จนเพื่อนๆ พูดล้อเลียนและยุให้เขาหาสาวๆ มาห่มแทนผ้า จะได้ไม่ต้องคอยขนผ้าห่มไปด้วย

      ญดา ทำสีหน้าเรียบเฉย  กลั้นยิ้มเพราะเธอกลัวชายหนุ่มอาย   ฉันก็เหมือนกันค่ะติดผ้าห่มแต่คงไม่ถึงขนาดคุณมังคะเลยไม่ได้หอบผืนใหญ่มา  แค่เต็นท์กับถุงนอนก็คงพอสำหรับทริปนี้  เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยหนาวมากเท่าไหร่ อากาศกำลังสดชื่น ปลายเดือนตุลา  ปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดสำหรับฉันค่ะฉันชอบช่วงเวลานี้มากและชอบการเดินทางไปเที่ยวตามภูเขา ค้างแรมบนเขาสักคืนสองคืน แล้วนำเอาความสดชื่นกลับไปสู้กับงานใหม่อีกทีค่ะ

      ปีนี้คุณจะมาพักเป็นอาทิตย์ ชายหนุ่มพูดเสียงสูงพร้อมกับเลิกคิ้วสูงส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถามไปที่หญิงสาวตรงหน้า

      ปีนี้พิเศษค่ะ  เอาวันลาพักร้อนมาใช้หมดเลย กะว่ายังไงก็ต้องได้นิยายสักเรื่องหนึ่งก่อนกลับลงจากเขาใหญ่ครั้งนี้ ทุ่มเต็มที่ค่ะสำหรับเวลาที่มี หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น  ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้ม

      เรายังมีเวลาคุยกันอีกแยะนะคะ เราน่าจะรีบเดินทางตั้งแต่ตอนนี้  ถ้าขืนเรายืนคุยกันตรงนี้ฉันต้องแย่แน่เลย  มือฉันเริ่มชาแล้วค่ะ  กระเป๋าหนัก  ไหล่จะทรุดซะก่อนเพราะเต็นท์กับถุงนอนนี่ก็หนักเอาการเหมือนกัน หญิงสาวพูดยิ้มๆ เพราะดูทีท่าว่าชายหนุ่มคงจะลืมว่ากำลังยืนคุยกับเธอโดยที่เธอยังถือของทั้งหมดในมือ  ไม่ได้วางลงเลย

      โอย...ผมขอโทษ...ผมลืมไป คุยเพลินไปหน่อย  เฮ้อ...นี่เริ่มปล่อยมารยาทแย่ๆ ออกมาให้คุณเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลยเหรอเนี่ย  สงสัยทริปนี้ของคุณคงเริ่มบันทึกความไม่ประทับใจตั้งแต่ชั่วโมงแรกของทริปเลยทีเดียว  แต่ไม่เป็นไรผมจะแก้ตัวในชั่วโมงต่อๆ ไปจนสิ้นสุดทริปนี้ก็แล้วกัน  ผมรับรองว่า เราจะได้นิยายกลับบ้านด้วยแน่นอนพร้อมกับความสุขในการท่องเที่ยวบนเขาใหญ่   เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ว่าที่ตรงนี้จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำเลยเชียวแหละ  ชายหนุ่มคุยกับหญิงสาวพร้อมกับเดินตรงไปที่สัมภาระกองโตก่อนจะตะโกนบอกหญิงสาวถึงเรื่องรถที่ใช้เดินทาง

      ผมยืมรถเพื่อนมาแล้วนะ  โน่นไงจอดอยู่ตรงโน้น  ไฟชี้มือไปที่รถกระบะสีบรอนด์เงินกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง  เพื่อนผมมันมีรถหลายคัน  เวลาที่ผมมาเขาใหญ่ผมไม่เคยเอารถมาหรอกนั่งรถไฟมาทุกทีเพื่อนก็เอารถมาให้สะดวกดี  เวลาเที่ยวเขาใหญ่ต้องมีรถ เพราะสถานที่เที่ยวแต่ละที่ไกลกัน  เดินไปไม่ได้หรอก

      อ้อค่ะ...ฉันเคยขึ้นมาเที่ยวเขาใหญ่ครั้งหนึ่งนานมากแล้ว  เมื่อสักสิบกว่าปีเห็นจะได้  หญิงสาวทำท่าคิด    ตอนนั้นมากับเพื่อนๆ ค่ะมาแบบแบ๊กแพค  เดินโบกรถมากันเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกจากมหาลัยขึ้นมาถึงบนเขาเลยค่ะ สนุกมาก...เราขนของไปที่รถกันเลยไหมคะ?  จะได้ออกไปหาซื้อของกินไปสำรองไว้ด้วย ขี้เกียจออกไปหาซื้อของกินหรือเผื่อหิวตอนดึกๆ

      ไปครับ...คุณไอซ์เดินล่วงหน้าไปที่รถก่อนเลยเดี๋ยวผมขนของตามไป จะได้รีบเดินทางเดี๋ยวมืดก่อน  กางเต็นท์ลำบาก  วันสองวันนี้คนคงเยอะเพราะติดวันหยุดยาว  เดี๋ยวหาที่กางเต็นท์ยากด้วย

      สองหนุ่มสาวขนสัมภาระขึ้นท้ายรถกระบะอย่างรวดเร็ว  ชายหนุ่มพาตัวเองขึ้นประจำที่คนขับและหญิงสาวขึ้นนั่งเคียงข้างก่อนเขาจะพารถมุ่งหน้าไปที่ตลาดปากช่อง

       

       

      ถนนสองเลนลาดยางมะตอย  รถต้องวิ่งสวนทางกัน  รถขาลงจากเขามีจำนวนน้อย  ส่วนใหญ่เป็นรถที่วิ่งขึ้นเขาเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์   เขาใหญ่เป็นสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ใกล้เมืองหลวง   การเดินทางสะดวกมีถนนหนทางที่รถขึ้นได้จนถึงที่พักที่เที่ยว   ที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากเลือกเดินทางมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์พร้อมกับเพื่อน  กับครอบครัว    

      หญิงสาวมองออกนอกหน้าต่างรถที่เปิดไว้เพื่อรับลมเย็นของอากาศธรรมชาติ  ไม่มีควัน  เขม่า  ต้นไม้ข้างทางสีเขียวขจี   ต้นเล็กใหญ่สลับกันเต็มสองข้างทาง  ในขณะที่รถปีนขึ้นสูงเรื่อยๆ  ความสดชื่นของอากาศและสีเขียวของใบไม้ทำให้จิตใจหญิงสาวสงบ  สดชื่นขึ้นมากกว่าตอนที่เริ่มเดินขึ้นรถไฟ  ความเป็นจริงอาจจะมาจากเมื่อเจอหน้าและได้ทักทายกับเพื่อนร่วมทริปแล้ว  หญิงสาวคิดว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดจึงทำให้เธอผ่อนคลายได้มากขึ้น  แต่ทว่าตอนนี้ความกังวลชนิดใหม่ได้เข้ามาในจิตใจของหญิงสาว...   

      คนสองคนที่นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน  กำลังเดินทางไปร่วมกับกลุ่มคนอื่นๆ บนภูเขา  เธอกับเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน  เป็นเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  แต่กำลังจะไปอยู่รวมกลุ่มกับคนที่เรียกว่าเพื่อนและครอบครัว  มิตรภาพที่เกิดขึ้นจะทำให้ทั้งเธอและเขาเป็นเพื่อนกันได้มากพอที่จะรวมอยู่บนสถานที่นี้ได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับคนอื่นได้หรือไม่หนอ  ท้ายที่สุดแล้วเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอกับเขาจะอยู่กันอย่างไรบน  เขาใหญ่... ภูเขาสูง...ใบไม้เขียว...สถานที่ที่เขาบอกว่า  จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ  แห่งนี้

       

       

      เต็นท์สองหลังขนาดพอดีสองคนนอนถูกกางติดกันหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  บริเวณที่ตั้งเต๊นท์ของสองหนุ่มสาวมีเต็นท์ตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก  ญดากับไฟเลือกริมขอบลานกว้างสำหรับกางเต็นท์ให้ห่างจากเต็นท์อื่นๆ พอประมาณเพื่อเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการในครั้งนี้  เสียงกีตาร์คลอเคล้าเสียงเพลงดังมาจากมุมหนึ่งของลานกว้าง  อีกมุมด้านหนึ่งเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังสลับกันไปมาอย่างสนุกสนาน  บ้างมีเสียงเคาะขวดดังออกจากวงเหล้าของหนุ่มสาวหลายวง   แสงไฟสีแดงสาดส่องออกจากกองไฟหลายกองที่หน้าเต็นท์  เปลวไฟส่องแสงสว่างให้เล็กน้อยพอมองเห็นเค้าหน้าของคนที่นั่งด้านหน้ากองไฟพอลางเลือน   เสี้ยวหน้าซีกซ้ายของหญิงสาวถูกแสงไฟสาดส่อง  มองดูเป็นสีส้มของเปลวไฟ  แก้มใสกำลังถูกปอยผมที่หล่นลงมาจากมุ่นมวยกลางศีรษะระอยู่ข้างๆ  ไอซ์และไฟนั่งอยู่หน้าเต๊นท์ของตัวเองที่มีไฟกองเดียวหน้าเต็นท์ทั้งสอง หม้อต้มกาแฟแขวนอยู่บนราวไม้เหนือเปลวไฟกำลังลุกโชน  กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกหนุ่มสาวตามทิศทางของกระแสลม

      อาหารมื้อค่ำของสองหนุ่มสาว ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกระหว่างเธอและเขา   ข้าวกล่อง ที่หญิงสาวซื้อติดมือมาจากตลาดปากช่องซึ่งมีผัดกระเพรา 2 กล่องและข้าวมันไก่ 1 ห่อ มันมากพอสำหรับคนสองคนในคืนนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงมีเสบียงอีกจำนวนมากนอนอยู่ก้นกระเป๋าที่อยู่ในเต๊นท์   หลังจัดการอาหารมือนั้นเสร็จสิ้นการคุยกันอย่างเป็นงานเป็นการของหนุ่มสาวจึงเริ่มต้นขึ้น

        ไอซ์คิดว่านิยายคืออะไร?   ชายหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากจัดการรินกาแฟในหม้อส่งให้หญิงสาวเติมครีม น้ำตาลเองได้ตามชอบ ส่วนชายหนุ่มคอกาแฟตัวยงเขาเลือกเทกาแฟดำแล้วยกแก้วได้เลยโดยไม่สนใจปรุงรส

      ในความคิดส่วนตัวของไอซ์  นิยายคือ การเอาสถานการณ์ในช่วงชีวิตของคนใดคนหนึ่งมาเขียนสื่อออกมาให้คนอื่นเข้าใจ  มีอารมณ์คล้อยตามไปกับอารมณ์นั้นน่ะค่ะ

      ไอซ์อ่านนิยาย  ชอบนิยายมานานหรือยัง?  ชอบนิยายแนวไหน? ชายหนุ่มผู้เข้ามาสู่แวดวงนักเขียนได้สักระยะหนึ่งถามขึ้นเบาๆ

      อ่านมานานแล้วตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ม.ต้นมั้ง ร่วมๆ สิบปี  ส่วนนิยายที่ชอบ...ชอบทุกแนวนะคะ  ไอซ์ว่าเสน่ห์ของนิยายอยู่ที่การดำเนินเรื่องมากกว่าแนวนวนิยาย   ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนถ้าเดินเรื่องดีมันก็สนุกหมดแหละแต่ที่อ่านเยอะ ๆ หน่อยก็คงเป็นแนวโรแมนติกรักหวาน ๆ ประมาณนี้แหละ

      อืม... ไฟพยักหน้าตาม  มองหน้าหญิงสาว  ดูหน้าตาแล้วไม่น่าเชื่อนะ ...แล้วคิดว่าพระเอก นางเอกของนิยายคือใครได้บ้างล่ะ?

      นี่คุณ...ที่คุณบอกว่าหน้าตาดูแล้วไม่น่าเชื่อน่ะ  หมายความว่ายังไงคะ?    ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาแบบฉันชอบอ่านนิยายรักโรแมนติกเหรอ?

      ม่าย...ย...ช่าย...ย...  ชายหนุ่มลากเสียงยาวล้อเลียน หัวเราะเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ        อย่าคิดมากแบบนั้นสิครับ  แค่ผมไม่อยากเชื่อว่าหน้าตาแบบคุณนี่จะอ่านนิยายแนวอื่นได้นอกจากนิยายรักโรแมนติกต่างหากล่ะ  เฮ้...บอกมาได้แล้วว่าคิดว่า พระเอก  นางเอกในนิยายเป็นใครได้บ้าง  เลิกทำตาเขียวใส่ผมได้แล้ว   ผมไม่ใช่แฟนคุณนะจะได้มาขว้างค้อนใส่ผม

      สงสัยทริปนี้คงประทับใจฉันแบบสุดยอดแน่ ๆ  เจอคนไม่มีมารยาทในชั่วโมงแรก  กวนประสาทในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หญิงสาวรำพึงรำพันเสียงดัง ๆ ให้คนที่นั่งหน้าเต็นท์ข้าง ๆ ได้ยินแบบชัดเจนจนเต็มสองหูก่อนจะพูดต่อเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน

      พระเอกหรือว่านางเอกในนิยายจะเป็นใครก็ได้ค่ะสำหรับฉัน  เพราะมันอยู่ที่คนเขียนจะสื่ออย่างไรให้คน ๆ นั้นเป็นพระเอกหรือนางเอก  พระเอกไม่จำเป็นต้องหล่อเป็นมิสเตอร์เพอร์เฟคแมน   นางเอกก็ไม่จำเป็นสวยตลอดกาล  สูงเริ่ด  เชิด  หยิ่งกว่าคนอื่น แค่ในนิยายเรื่องนั้น ๆ  เราต้องการถ่ายทอดอะไรออกไปผ่านตัวละคร   ตัวเอกก็ต้องแสดงสิ่งที่เราต้องการถ่ายทอดนั้นได้...ดูอย่างหนังเรื่องซีอุยสิคะ  เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่พระเอกคือซีอุย  นั่นคือเราก็ต้องรู้ว่าซีอุยคือใคร  ซีอุยไม่ใช่คนหล่อ   ซีอุยเป็นฆาตกรโรคจิต  แต่คนเดินเรื่องหลักก็คือซีอุย ฉะนั้นซีอุยก็คือพระเอก  หนังอีกเรื่องก็คือเรื่อง  ตี๋ใหญ่  ตี๋ใหญ่เป็นโจร  ฆ่าคนไปทั่ว  มีเมียทุกที่ที่ตี๋ใหญ่ผ่านไป  แต่ตี๋ใหญ่ก็คือพระเอกเรื่องเพราะเขาเดินเรื่องมากที่สุด

      เออแฮะ...ลึกซึ้ง...ลึกซึ้ง  แล้วคุณคิดว่าผมพอจะเป็นพระเอกนิยายของคุณได้มั๊ยนี่?  ไฟถามขึ้นพร้อมทำหน้าทะเล้นล้อเลียนใส่หญิงสาว

      ญดามองหน้าชายหนุ่มแล้วส่งสายตาค้อนให้อีกรอบพร้อมกับเสียงพึมพำเบา ๆ ลอดออกจากริมฝีปากบาง คนกำลังพูดแบบซีเรียส  คุณเองก็เล่นอยู่ได้ แล้วจะมาถามทำไมถ้าไม่อยากได้คำตอบ

      ใครว่าผมไม่อยากได้คำตอบ  ผมฟังคุณอยู่นะ  ชายหนุ่มพูดไปและหันหน้าไปมองหน้างอบูดบึ้งของหญิงสาวก่อนจะหัวเราและแกล้งกระเซ้าเย้าแหย่กวนโมโหเธออีกรอบ 

      ผมบอกว่าเลิกค้อนผมได้แล้ว...ผมขอเป็นพระเอกนิยายของคุณนะ  ไม่ได้ขอเป็นแฟนคุณซะหน่อย  ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ แล้วมองไปรอบๆ ตัว  สอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณเต็นท์ก่อนเอ่ยเสียงเป็นงานเป็นการออกมาอีกรอบ

      ตอนนี้สมมุติว่าคุณเป็นนางเอก  ผมเป็นพระเอกในนิยายของคุณแล้วเราสองคนนั่งอยู่แบบนี้  คุณคิดว่าคุณจะบรรยายอย่างไรให้ผมและคุณเป็นพระเอกนางเอกของนิยายได้?

      หญิงสาวหันหน้าช้า ๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม  เธอเริ่มสงสัยความรู้สึกของเขาจากสิ่งที่เขาพูดแต่ทว่าคำถามก็ไม่ได้ผ่านริมฝีปากบางออกไป  เฮ้อ... เสียงถอนหายใจยาวๆ ของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับที่เธอหันกลับมองตรงไปข้างหน้า ไม่ให้เขาอยู่ในสายตาของเธออีก  เสียงเบา ๆ แต่ใสกังวานดังตามมา

                       ฉันก็คงบรรยายบรรยากาศ  กลางดึกวันหนึ่ง...ลมพัดแรงบนภูเขาสูง...อากาศหนาวเย็นจับใจ...ชายหนุ่มรูปหล่อ  ตาคมกริบ ปลายผมปลิวตามแรงลมพัด  นั่งอิงแอบอยู่กับหญิงสาวที่เขาแอบพึงใจมานานท่ามกลางเสียง...อะไรประมาณนี้แหละค่ะ

      อืม...แล้วคุณคิดว่าจะทำให้หนุ่มสาวสองคนนี้แตกต่างจากชายหญิงคู่อื่น ๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?

      ก็ต้องบรรยายให้เขาทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการสื่อออกมาจากนิยายเรื่องนี้ให้มากที่สุด  และให้เขาเป็นคนเดินเรื่อง  เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเดินเรื่องที่สำคัญของเรื่องเขาย่อมเด่นกว่าใครทุกคน  เขาก็จะกลายเป็นพระเอก  นางเอกไปโดยปริยาย  ฉันคิดแบบนี้ค่ะ  ยกตัวอย่างนะคะ...เธอกำลังเดินข้ามถนนอย่างเร่งรีบ  ในมือข้างขวามีซองเอกสารสีน้ำตาลซองใหญ่  มองดูท่าทีของเธอลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง...ก็แค่นี้แหละ  เพียงแค่เราไม่ได้พูดถึงคนอื่นที่เรากำลังมองเห็น  เราบรรยายลักษณะของคน ๆ หนึ่งอย่างเด่นชัด  แค่นี้คน ๆ นั้นก็เป็นตัวเอกได้แล้วค่ะ

      โอ้โห...เจ๋งนะเนี่ย...แล้วคุณคิดว่าจะเขียนนิยายแบบไหน  พล็อตเป็นยังไง  คุณได้คิดไว้ก่อนมาที่นี่หรือเปล่า

      คิดสิคะ  ฉันคิดไว้ว่าอยากเขียนนิยายรักโรแมนติกสักเรื่อง  แต่เรื่องรักของดิฉันจะเป็นแบบความรักที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน  ฉันสังเกตเห็น...เดี๋ยวนี้คู่รักที่แต่งงานกันแล้ว  เมื่อจบลงด้วยการหย่ามักมีเหตุผลที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้เสมอคือ  ไปกันไม่ได้  ทัศนคติไม่ตรงกัน ฉันเลยคิดว่าจะทำยังไงให้ความรักมีการปรับตัว  มีการลดบางส่วน  เพิ่มบางอย่างให้เกิดความสมดุลจนสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขค่ะ  ฉันคิดเล่น ๆ ไว้นะคะว่า  ฉันจะให้ชื่อเรื่องว่า ครึ่งทางของหัวใจคือต่างคนต่างมาเจอกันที่ครึ่งทางแล้วเดินต่อไปด้วยกัน   เมื่อจะเดินซ้ายขวาก็ต้องหย่อนเมื่อจะเดินไปทางขวาซ้ายต้องยอมผ่อนให้   ซึ่งฉันคิดว่าบรรยากาศที่ดี  สถานที่ที่โรแมนติกน่าจะช่วยให้เนื้อเรื่องของนิยายไหลไปได้ดีค่ะ   เมื่อคุณคิดจะสอนฉันเขียนนิยาย  ฉันอยู่อุดรฯ ส่วนคุณอยู่กรุงเทพฯ  ฉันก็เลยให้แนวความคิด...ครึ่งทางของฉันเริ่มเดินตั้งแต่ก้าวแรกค่ะ  คือนัดกับคุณที่เขาใหญ่

      อ๋อ...ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงนัดผมที่นี่   ก็เข้าท่านะกับความคิดครึ่งทาง...  เพราะว่าทั้ง ๆ ที่ผมก็มีความกลัวที่เขาใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่  แต่ผมก็ยอมมาเจอคุณที่นี่  ผมเคยเดินเที่ยวเขาใหญ่และโดนทากดูดมาแล้ว  ผมเกลียดสัตว์ประเภทนี้มากที่สุด  ปลิง  ทาก  หนอน    อึ๋ย...พูดมาแล้วหยะแหยงแต่ผมก็ยังมานะ  แต่เอ...ตรงนี้จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ครึ่งทางนะ ถ้าครึ่งทางน่าจะเป็นแถวๆ โคราชมากกว่า ทำไมเป็นที่เขาใหญ่ล่ะ  ชายหนุ่มทำหน้าตาฉงนสงสัย

      จริง ๆ จะว่าไปมันเริ่มเข้าคอนเซปของฉันแล้วหลายอย่างเลยนะคะ  เริ่มจากเขาใหญ่ไม่ใช่ครึ่งทางแต่ดิฉันก็ยอม  ในขณะที่คุณมีความฝังใจที่ไม่ดีที่นี่  แต่คุณก็ยอม   เป็นไงคะคอนเซ็ปผ่อนซ้ายหย่อนขวาเริ่มทำงานแล้ว หนุ่มสาวมองหน้ากันพร้อมกับประสานเสียงหัวเราะออกมาดังก้องราวกับที่ตรงนี้มีแค่คนสองคน

      ถ้าอย่างงั้นผมเติมอย่างที่สามที่เข้ากับคอนเซ็ปของนิยายของคุณได้มั๊ย?

      ญดาหันกลับมามองหน้าชายหนุ่ม  เลิกคิ้วสูงแสดงเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าสวยเลยถามออกไปเพื่อหาคำตอบ

      มีอะไรอีกคะ  ฉันว่ามันน่าจะหมดแล้วนะ?

      ยัง...ยังไม่หมด...ชื่อคุณกับผมไงไอซ์...ไอซ์กับไฟ...ไฟกับน้ำแข็ง  คุณคิดว่าไง...เห็นด้วยมั๊ย  แสดงว่านิยายเรื่องนี้ผมคงมีสิทธิ์ได้เป็นพระเอกของคุณใช่ไหม?

      วงหน้าเรียวรูปไข่เรียบเฉย แต่กลับมีอาการร้อนวูบวาบที่แก้มสองข้าง  หญิงสาวก้มหน้าลงต่ำซ่อนสายตาไว้ไม่ให้เขารู้...  ไม่หรอกเขาแค่พูดเล่น  คิดเป็นตุเป็นตะไปได้ เขาสร้างอารมณ์  สร้างบรรยากาศให้เราคิดพล็อตนิยายออกน่ะสิ  หญิงสาวคิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยชวนชายหนุ่มเบา ๆ

      วันนี้ดึกแล้ว  เราเดินทางมาแต่เช้าฉันว่าเราเข้านอนก่อนดีไหมคะ  นอนฟังเสียง  เก็บบรรยากาศความรู้สึกเอาไว้เขียนลงในนิยายดีกว่า  พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้ามานั่งเก็บบรรยากาศตอนเช้า ๆ อีกทีแล้วจะได้เริ่มลงมือเขียนตามที่คุณแนะนำวันนี้  คุณว่าดีไหมคะ?

      เอางั้นก็ได้  ผมก็จะได้นอนฟังเสียง  เพราะผมเชื่อว่าทุกอย่างที่ผ่านสายตา  ทุกเสียงที่ผ่านโสตประสาท  เรานำมันมาเป็นวัตถุดิบในการเขียนได้ทั้งนั้นแหละครับ  เต็นท์คุณเรียบร้อยดีนะเมื่อเย็นผมเช็คดูแล้วล่ะ  คุณเข้าไปก่อนแล้วกัน  ผมดับไฟก่อนแล้วผมก็จะเข้านอนเหมือนกัน

      คุณจะเอาขนมไว้ที่เต็นท์คุณไหม  เผื่อคุณหิวตอนดึก? หญิงสาวถามและรอคำตอบที่หน้าเต็นท์

      ไม่ล่ะครับเอาไว้ที่คุณนั่นแหละ  ถ้าผมหิวกลางดึกเดี๋ยวผมปลุกคุณเอง  รับรองผมไม่เข้าเต็นท์คุณก่อนได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาดถ้า...ไม่จำเป็น  แต่ถ้าผมหิวผมจะไปขอที่คุณเท่านั้นครับชายหนุ่มพูดเสียงค่อยๆพอให้ได้ยินสองคน  ยิ้มใส่หญิงสาว  หันหลังไปจัดการกับกองไฟหน้าเต็นท์ให้เรียบร้อยก่อนจะมุดเข้าเต็นท์ข้าง ๆ กันไป

      ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวเมื่อได้ยินคำพูดกำกวมของชายหนุ่ม ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที  รีบคลานเข้าเต็นท์  รูดซิบหน้าเต็นท์อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเห็นแก้มสีมะยงสุกของเธอ   ญดาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอเริ่มรู้สึกกับสิ่งที่เขาพูด  เธอคิดว่าเขากำลังสื่ออะไรบางอย่างมาถึงเธออยู่หรือเปล่า  อีตาบ้า  พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้หญิงสาวพูดคนเดียวเบา ๆ  ยิ้มในความมืดก่อนล้มตัวลงนอน

       

       

      กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟผสมเข้ากับมวลอากาศสดชื่นในตอนเช้าของภูสูงลอยเข้ามารบกวนนิทรารมย์ของหญิงสาวจนเธออดทนนอนคุดคู้ต่อไปไม่ได้    เสียงกุกกักที่ดังอยู่หน้าเต็นท์ดังมากขึ้นเหมือนผู้ทำให้เกิดเสียงจงใจทำเกินกว่าปกติ    หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ  กะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา บรรยากาศรอบตัวยังถูกปกคลุมด้วยความมืด   แสงสลัวจากกองไฟลอดเข้ามาในเต็นท์ส่องสว่างพอลางเลือน   มือเล็กๆของญดารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลาที่หน้าจอ  โอย...ย...เพิ่งตีห้าเองเหรอเนี่ย...ย   เขาตื่นมาทำไมตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้  ฉันขอนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกันนะ  หญิงสาวโอดครวญกับตัวเองเบา ๆ  ทันใดหล่อนรีบคว้าผ้าห่มผืนผืนบางขึ้นคลุมโปงอีกครั้งเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บซุกซอนเข้าหาร่างกาย

      คุณ...คุณ... เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังลอดเข้ามาพร้อม ๆ  กับเต๊นท์ไหวจากแรงเขย่าของคนด้านนอก        คุณไอซ์....ผมรู้นะว่าคุณตื่นแล้ว   นอนตื่นสายแบบนี้คุณจะได้บรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นไปเขียนฉากโรแมนติกไหมเนี่ย    ผมว่านิยายคุณคงมีแต่ฉากรักร้อนแรงแน่เลยก็คนเขียนเล่นนอนตื่นสายตะวันโด่งแบบนี้  ผมจัดฉากรักของนิยายคุณเป็นระดับเรทอาร์ได้เลยนะนี่  เสียงพูดที่ออกมาจากปากอย่างชายหนุ่มกระทบโสตประสาทของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง  เธอเชื่อว่าเขารู้ว่าเธอตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุกออกไป

        หรือว่าวันนี้คุณคิดจะเขียนฉากโรแมนติกในเต็นท์มืด ๆ  จินตนาการคนเดียวได้ด้วยเหรอฉากนั้นน่ะ ให้ผมเข้าไปช่วยสร้างอารมณ์  สร้างบรรยากาศไหม?  ชายหนุ่มยังคงส่งเสียงเข้ามายั่วเธอต่อเมื่อเขายังไม่เห็นเธอออกจากเต็นท์ 

      เออ....แฮะ...สงสัยจะให้เราเข้าไปช่วยสร้างบรรยากาศจริงๆ มั้งเนี่ย   โอเค...โอเค  รอแป๊บนึงนะเดี๋ยวผมเข้าไป คำพูดประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าทะเล้นของชายหนุ่มที่โผล่เข้ามาลอยอยู่ในเต๊นท์ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งรีบยันตัวลุกจากที่นอนอย่างรวดเร็ว

      คุณจะบ้าเหรอ   เสียงสาวสวยแหวขึ้นทันทีทันใด  อย่าเข้ามานะ กวนคนอยู่ได้  คนจะนอนก็ไม่ได้นอน...กวนประสาท  หญิงสาวส่งค้อนน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม พูดบ้าอยู่ได้  คุณจะมาสร้างบรรยากาศอะไรในเต๊นท์ของฉัน  ฉันไม่ได้มาหาบรรยากาศเขียนนิยายโรม๊านซ์นะ ฉันมาเขียนนิยายรักโรแมนติกย่ะ...คุณออกไปได้แล้ว...  ฉันขอเวลาสามนาทีเดี๋ยวตามออกไป

      ผมจะไปรู้รึเห็นคุณไม่ยอมออกจากเต็นท์สักที  นึกว่านิยายเรื่องนี้มีฉากเดียวคือในเต็นท์  ที่ผมมาที่นี่ผมบอกแล้วว่าจะพาคุณมารู้จักการสร้างบรรยากาศในการเขียนนิยาย   คุณอยากเขียนฉากไหนผมช่วยได้หมดนะ  หนุ่มหน้าหล่อทำหน้าทะเล้นใส่หญิงสาวก่อนผลุบกลับออกจากเต๊นท์อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะไล่หลังมา ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...

       

      ขอกาแฟฉันแก้วสิคะคุณนักเขียน  กลิ่นอันหอมกรุ่นที่โชยเข้าไปปลุกฉันให้ตื่นจากนิทรารมย์  มันเป็นกลิ่นของกาแฟสดอย่างดีที่มีต้นกำเนิดมาจากดอยสูงของไทย”  หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมสายตาชวนฝันจิตใจล่องลอยไปกับอารมณ์lสุนทรีในยามเช้า

      มือใหญ่ที่กำลังรินกาแฟหยุดชะงักเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าหญิงสาว  กลั้นยิ้มจนทนไม่ไหวก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

      ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า...สำนวนลิเกออกโรงแต่เช้าเลยวันนี้  ไข้ขึ้นเหรอเมื่อคืน ถึงได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์พิสดารทันที

      โธ่...คุณ....ฉันนึกแทบตายตั้งแต่ฉันได้กลิ่นกาแฟของคุณโชยเข้าไปเตะจมูกฉันแล้ว  มาหาว่าเป็นสำนวนลิเกอีก  แล้วคุณจะให้ฉันบรรยายยังไงล่ะ  หญิงสาวส่งน้ำเสียงตัดพ้อให้ชายหนุ่ม

      เดี๋ยวก่อนก็ได้คุณ  ใจเย็น ๆ สิ  อย่าเพิ่งน้อยใจผมพูดเล่นเฉย ๆ  ไฟส่งเสียงปลอบออกไปเพราะความจริงเขาก็เริ่มรู้สึกว่าจินตนาการของหญิงสาวได้เริ่มขึ้นแล้ว 

      คุณไม่คิดจะล้างหน้าแปรงฟันก่อนกินหน่อยรึคุณ?ชายหนุ่มถามขึ้นในขณะที่มือใหญ่กำลังกลับไปทำหน้าที่ใหม่อีกครั้ง

      ไม่ค่ะ  ยังหนาวอยู่เลย  กาแฟร้อน ๆ สักถ้วยคงทำให้อุ่นขึ้น   เสร็จแล้วฉันค่อยไปล้างหน้าแปรงฟันค่ะ    กาแฟผสมขี้ฟันอร่อยจะตาย  คุณไม่เคยลองใช่มั๊ย  ลองสิแล้วจะรู้   หญิงสาวที่อยู่ในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่  สวมหมวกไหมพรม  แก้มแดงเพราะความหนาวเย็นของอากาศ  พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น

      หลาย ๆ อย่างของเราสองคนมักจะต่างขั้วกันจนต้องมาเจอกันครึ่งทาง  คงมีเรื่องนี้แหละที่เราเหมือนกัน  ใครว่าผมไม่รู้ว่ามันอร่อยเพราะผมทำประจำ  ผมก็แค่แกล้งถามคุณไปยังงั้นแหละ   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอย ๆ  ไม่สนใจมองหน้าคู่สนทนา  มือสาละวนกับการรินกาแฟลงถ้วยส่งให้หญิงสาวและรินให้ตัวเองอีกถ้วยก่อนเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างกันที่หน้าเต็นท์ของเธอ

      ไอซ์ครับ  หนุ่มหล่อ  สาวสวยนั่งดื่มกาแฟตรงนี้ บนภูเขาสูงอากาศหนาวเย็น  พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้ามองเห็นรำไร  ท้องฟ้าที่อยู่ไกลสุดสายตาเริ่มเปลี่ยนสี  นกน้อยกำลังส่งเสียงเมื่อบินออกจากรัง ผู้คนในเครื่องแต่งกายหลากหลายแบบเดินผ่านหน้าเราไป  บ้างเดินคนเดียว  มีบ้างเดินเกาะกลุ่ม  บางคนเดินช้าบางคนเดินเร็ว   สิ้นเสียงพูดที่คล้ายกับการรำพึงรำพัน  ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหญิงสาวข้างกาย...ส่งยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยกับเธอต่อเบา ๆ 

        เช้านี้ผมว่าเรานั่งดูบรรยากาศตรงนี้ก่อนนะแล้วคุณลองดูสิว่า  บรรยากาศตอนเช้ากับเมื่อคืนต่างกันยังไงแล้วก็ลองบรรยายออกมานะครับ  คืนนี้ผมจะคอยดูฝีมือของคุณ...แม่นักเขียนหน้าใหม่ของผม   ชายหนุ่มหันหน้าระบายยิ้มน้อยๆ ให้หญิงสาวหลังน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูจบลง  พร้อมกับมือใหญ่ยกกาแฟขึ้นจิบละเลียดรสชาติอันเย้ายวนของเครื่องดื่มสีดำสนิทแก้วนั้นช้าๆ

       

      อากาศยังคงเย็นจัด  หมอกหนามองดูบรรยากาศขมุกขมัว  รอบข้างมีเสียงพูดคุยแผ่ว ๆ จากผู้คนในลานกว้างนี้  หัวใจของญดาที่เคยคิดว่าหนาวเหน็บเวลานี้กลับรู้สึกถึงไออุ่นแทรกเข้ามา   กลิ่นอายของกาแฟที่เคยได้กลิ่นอยู่ทุกวันกลับกลายเป็นกลิ่นที่หอมละมุน   สมองน้อย ๆ ของเธอตั้งคำถามขึ้นมาทันที  มันคืออะไรนะที่เขาพูดออกมา  มันคือบรรยากาศที่เขาอยากให้เธอคิดตามเพื่อให้หัดบรรยายในนิยายเหรอ ก็เขาบอกแล้วนี่นะว่ามันคือบรรยากาศในการบรรยายนิยาย  คืนนี้ผมจะคอยดูฝีมือคุณ  แม่นักเขียนของผม  มันคงตีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้แน่นอน  แต่ใจของเธอที่กำลังอยากเอนเอียง มันช่างค้านกับความจริงเหลือเกิน  ใจหญิงสาวที่แอบนิยมเขาอยู่ก่อนแล้วยิ่งบวกคะแนนให้มากขึ้นหลังจากพบกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดี   กว่าจะผ่านสัปดาห์หนึ่งไปได้ใจของฉันจะเหลือถึงครึ่งที่คิดว่าจะเก็บเอาไว้หรือเปล่าหนอ  ความรู้สึกในใจของหญิงสาวตอนนี้ไม่แตกต่างจากบรรยากาศเช้านี้ที่มองไปทางไหนก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนมองทุกอย่างพร่าเลือนไปหมดสิ้น

       

      ดวงอาทิตย์กลมโตลอยเกือบถึงกึ่งกลางศีรษะ  หลังสิ้นสุดอาหารมื้อเช้าเมื่อช่วงสาย ๆ ของวันซึ่งเป็นอาหารเช้ามื้อแรกระหว่างคนสองคนที่ถูกทำขึ้นแบบง่าย ๆ จากฝีมือของสาวร่างบางเพื่อตอบแทนที่ชายหนุ่มเสิร์ฟกาแฟมื้อก่อนเช้าให้เกือบถึงถุงนอน   ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่คะเนด้วยสายตาคงราว ๆ ร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นไปอยู่ในชุดทะมัดทะแมงส่วนหญิงสาวความสูงแค่ไหล่ของคนข้าง ๆ  คนสองคนแต่งกายไม่แตกต่างกันมากนัก  กางเกงยีนส์  เสื้อเชิร์ต รองเท้าผ้าใบและหมวกแก๊ปเป็นสิ่งที่หนุ่มสาวเลือกมาใช้ในเวลานี้  สองร่างเดินเคียงกันขึ้นรถกระบะจุดมุ่งหมายของพวกเขาอยู่ที่น้ำตกเหวสุวัตที่ถือเป็นสถานที่ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของเขาใหญ่  เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบรรยากาศรักโรแมนติกในนิยายของหญิงสาวในครั้งนี้

      หญิงสาวหน้าตาสะสวยใช้เวลาเดินทอดน่องสบาย ๆ คู่ไปกับหนุ่มร่างใหญ่  มองหามุมสวยของน้ำตกเพื่อสร้างจินตนาการ   เสียงน้ำจากที่สูงกว่ายี่สิบเมตรจากหน้าผาตกกระทบแอ่งด้านล่างดังซู่กึกก้องทั่วบริเวณกลบเสียงสรรพสิ่งรอบข้างได้มากพอสมควร   แต่กระนั้นหญิงสาวยังได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนที่แหวกว่ายในแอ่งน้ำที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน  ไม่ได้กลัวความเย็นของน้ำในแอ่งนี้เลย   น้ำที่ตกจากหน้าผาไหลแรงเร็วไม่ขาดสาย   รอบข้างซ้ายขวาและเหนือขึ้นไปต้นไม้ใบไม้สดชื่นอิ่มน้ำ  สีเขียวแก่เขียวอ่อนของใบไม้สลับกันเต็มไปหมดจนหาสีอื่นแซมไม่ได้ในช่วงปลายฝนแบบนี้    สิ่งรอบข้างได้สร้างความรื่นรมย์ขึ้นในจิตใจให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี   อารมณ์ของนักอยากเขียนนิยายไหลปรี่ออกจากสมอง   ภาพต่าง ๆ วิ่งเข้าวิ่งออกในม่านสายตา คำพูดคำบรรยายนับร้อยนับพันผุดขึ้นในสมองที่กำลังสั่งมาที่มือให้เขียนออกมาเป็นตัวอักษร  เธอไม่เคยรู้ว่าการเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์รักจะทำให้การเขียนนิยายรักมีอารมณ์ของความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้   เมื่อก่อนเธอได้แต่อ่านตามหนังสือ   มาวันนี้มีคนเปิดโลกใหม่ในการเขียนให้เธอ  คือเขาคนนั้น... “ไฟ

      มาเห็นที่นี่แล้วคุณพอจะรับผมเป็นพระเอกของคุณได้รึยัง  บุคลิกผมเหมาะที่คุณจะให้เป็นพระเอกของคุณไหม  ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากหย่อนตัวลงนั่งข้างตัวของหญิงสาวที่นั่งเหม่อลอย

      ใบหน้านวลใสแดงเรื่อ ๆ  ระบายยิ้ม  ริมฝีปากบางสีชมพูตอบออกมา   น้ำเสียงใสกังวานปานระฆังแก้วที่กึกก้องในหุบเขา

      ยังหรอกค่ะ  ยังเป็นไม่ได้เพราะฉันยังหานางเอกในเรื่องให้เหมาะสมกับคุณไม่ได้  เอาไว้ฉันหานางเอกได้ฉันจะบอกคุณค่ะ

      อ้าว...คุณไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหรอกรึ  คนส่วนใหญ่เขาเขียนนิยายเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกทั้งนั้น

      ฉันก็อยากเป็นนะคะแต่ฉันหาพระเอกไม่ได้  เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่าและอีกอย่างฉันไม่ชอบจินตนาการอะไรใกล้ ๆ ตัวค่ะ

      บทสนทนาของสองหนุ่มสาวต่อเนื่องไม่ขาดระยะสลับกับเสียงหัวเราะ  มิตรภาพที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้นจะนำพาดวงใจดวงน้อยไปถึง ณ.ที่ใด   หญิงสาวครุ่นคิดและตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง  เธอคิดว่ามีแค่เธอเท่านั้นที่คิดกับเขาเกินเลยกว่าคำว่า  คนสอนเขียนนิยายจนต้องหาทางออกให้ตัวเองโดยการปฏิเสธสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เขารับรู้ว่า   เธอไม่อยากเอาตัวเองเป็นนางเอกเพราะไม่ชอบจินตนาการสิ่งที่ใกล้ตัว  ทั้งนี้เพื่อซุกซ่อนหัวใจของเธอเอาไว้ให้ลึกที่สุด

       

      เวลาผ่านไปจากวันเป็นสองสามและสี่วัน  สถานที่แห่งใหม่ ๆ บนเขาสูง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเหวนรก   น้ำตกผากล้วยไม้   ที่พัก   โรงแรม   รีสอร์ท  ถูกชายหนุ่มจัดเป็นโปรแกรมหมุนเวียนเข้ามาเพื่อให้เธอนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนนิยาย  กิจกรรมประจำวันไม่แตกต่างจากเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของสาวน้อย ความชื่นชมในตัวของชายหนุ่มของเธอ   มันทะลักล้นจนถึงจุดสูงสุดแต่มันก็ถูกกดเอาไว้ไม่ให้ใครได้รู้นอกจากเจ้าตัวเท่านั้น 

      ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า   ความมืดเข้าครอบคลุมพื้นที่  อากาศวันนี้เย็นจัดมากขึ้น  พื้นดินใต้ผ้าปูนั่งชื้นแฉะ  ฝนสุดท้ายของฤดูน่าจะผ่านไปแล้วหลังเทกระหน่ำลงมาช่วงสั้น ๆ เมื่อตอนหัวค่ำ  ลมหนาวพัดแรงเห็นเงาตะคุ่มของต้นไม้  ใบไม้พัดไหววูบ  ผู้คนบางตา  เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเหมือนสองคืนก่อนหายไป  ความเงียบเข้าครอบคลุม   เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบเหงา

      ไอซ์ครับ...เท่าที่ผมพาคุณไปดูทุกที่  สัมผัสทุกบรรยากาศ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นสี่วันมาแล้วและเท่าที่ผมได้อ่านที่คุณบรรยายลักษณะของคนที่คุณเจอ  บรรยายบรรยากาศสถานที่  ผมว่ามันก็ชัดเจนขึ้นนะ  คุณเริ่มมีสำนวนเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของคุณมากขึ้น คุณทำได้ดีหัวเร็วและคงมีพรสวรรค์อยู่ไม่น้อย  เพียงแต่คุณไม่เคยดึงมันออกมาใช้  ผมว่าพรุ่งนี้คุณลองนั่งเขียนออกมาแบบเต็ม ๆ สักบทสองบทตามพล็อตที่เราวางไว้น่าจะดีนะ  ถ้าทำได้ดีผมจะมีรางวัลให้

      ฉันลองเขียนบ้างแล้วล่ะ คุณอยากดูตอนนี้ไหมคะ ? เผื่อคุณจะได้มีเวลาในการคอมเม้นท์มากขึ้น

      ได้สิ...คุณเขียนตอนไหนผมไม่ห็นเลย...แหมไม่ยอมเอ่ยปากเล่าให้ฟังบ้างเลยนะ  ปิดเงียบเชียว  เข้าไปดูในเต๊นท์ผมดีกว่าข้างนอกจุดเทียนไม่ได้หรอก...อากาศเย็นแล้วก็ชื้น ลมแรงมากด้วยวันนี้  เข้าไปอยู่ในเต็นท์อุ่นกว่า  เมื่อตกลงกันได้หญิงสาวลุกเดินเข้าเต็นท์ตัวเองหอบสมุดบันทึกที่เธอเขียนนิยายออกมา  ชายหนุ่มดับกองไฟหน้าเต๊นท์แล้วเดินตามกันเข้าไปในเต็นท์นอนของชายหนุ่ม

      เก่งนะเนี่ย  ไหลลื่นเชียว   อาจจะมีที่ต้องแก้ต้องปรับบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ตอนนี้มันก็พอมีบรรยากาศและเอกลักษณ์ของตัวคุณชัดเจนขึ้นอย่างที่ผมว่าไว้นะ  ชายหนุ่มกล่าวชมและพูดเป็นการเป็นงานเป็นการหลังจากอ่านนิยายที่หญิงสาวเขียนด้วยลายมือในสมุดบันทึกเล่มหนาก่อนปิดสมุดเล่มนั้นลง

      ไฟมองหน้าที่ระบายยิ้มของหญิงสาว  เขารู้สึกใบหน้านวลเนียนนั้นหวานละมุนยิ่งขึ้นเมื่อมองมันใต้แสงเทียน  จมูกโด่ง  ตาโต ปากบางเด่นชัดขึ้นมาในความคิดของเขา  ผมยาวสยายล้อมกรอบใบหน้าให้เด่นยิ่งขึ้น  ทำเอาชายหนุ่มเคลิ้มไปกับภาพสาวน้อยตรงหน้า   แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไร่าความรู้สึกนี้คืออะไรในเมื่ออีกสองวันเพื่อนหญิงที่เขาสนิทที่สุดกำลังจะเดินทางมาที่นี่ มาใช้เวลาสุดสัปดาห์กับเขาที่นี่ แล้วความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร  ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ในใจแต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้

      เอ๊ะ!!  อะไรอยู่ที่เท้าผม  ไฟร้องเสียงดัง เมื่อรู้สึกว่าเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่เท้า  

      ชายหนุ่มรีบยกเท้าขึ้นดู เจ้าสัตว์ตัวเล็กสีดำคล้ายปลิงกำลังดูดอาหารจากร่างกายของเขาเพื่อยังชีพของตัวเอง  ชายหนุ่มตัวโตแต่แพ้สัตว์ตัวเท่าหนอนร้องโวยวายเสียงดังลั่น

      คุณไอซ์ช่วยผมด้วย...เอามันออกจากเท้าผมที...คุณ...คุณ..ช่วยผมทีสิ  โอ๊ย...ผมจะเป็นลมแล้ว ฮือ...ฮือ...ฮือ  ยิ่งเกลียดทำไมมันต้องมาด้วย  เสียงสั่น ๆ ของชายหนุ่มดังออกมา แสดงความกลัว  ความรังเกียจ  ร้องขอความช่วยเหลือจากคนข้าง ๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์

      ทุกวันไม่เห็นมี  สงสัยวันนี้ฝนตกเมื่อตอนหัวค่ำเลยออกอาละวาดสิคะเนี่ย  ทากก็เป็นแบบนี้แหละ แฉะหน่อยก็มาแล้ว   คุณนิ่ง ๆ ไว้นะคะเดี๋ยวฉันหากระดาษ  หรืออะไรมารองมือก่อนแล้วฉันจะเอาออกให้

      หญิงสาวรีบหากระดาษมารองมือ  จัดการกับทากที่กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้หลุดพ้นออกไปจากเท้าของคนขี้กลัวอย่างรวดเร็ว แต่พอตัวทากหลุดออก  เลือดที่ปากแผลชายหนุ่มกลับไม่หยุดไหลเพราะทากเป็นสัตว์ที่มีสารละลายเลือดที่เรียกว่า  เฮพาริน อยู่ที่ตัวเมื่อกัดใครก็จะปล่อยสารที่ว่านี้ออกมาทำให้เลือดคนนั้นไม่แข็งตัว ทากจะได้ดูดเลือดได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกันกับปลิงที่มีสารที่ว่านี้ด้วย

      โอย...เลือด...เลือดไม่หยุดไหล  ฮือ...ฮือ...ผมจะเป็นลม  ผมไม่ชอบเลือด  เสียงโอดครวญยังดังมาต่อเมื่อชายหนุ่มเจอปัญหาใหม่ตามมาอีกระลอก

      เดี๋ยวฉันไปเอายาที่เต็นท์ดีกว่าค่ะ...ฉันมียาดี  เป็นสมุนไพรหยุดเลือดได้เวลาทากหรือปลิงดูด

      ไม่เอา...ผมไปด้วย  คืนนี้ผมไม่นอนที่นี่แล้ว  ผมว่ามันต้องมาอีกตอนกลางคืนถ้ามันกัดผมอีกผมจะทำยังไง  ให้ผมไปนอนในเต็นท์คุณด้วยคนนะ ผมขอวันเดียวให้ผมนอนกับคุณ  ผมกลัว...พรุ่งนี้ถ้าดินหายชื้นมันคงไม่มาอีกผมก็กลับมานอนเต็นท์ผมได้

      ญดาจ้องหน้าชายหนุ่มสายตาค้นหาความหมายแอบแฝง  เห็นแววตาซื่อ ๆ ไม่มีทีท่าของความกะล่อนของเขา  เธอจึงยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ

      ได้สิ  คุณตามฉันมาสิคะหอบข้าวของคุณมาด้วยนะ  ผ้าห่มเจ้าปัญหาของคุณ ถุงนอนของคุณเอามาให้หมด  ฉันมีแค่ชุดเดียวคุณเตรียมของคุณมาด้วย

       

      สายตาของชายหนุ่มจ้องอยู่ที่ซีกหน้าหญิงสาว มือของหล่อนกำลังสาละวนอยู่กับการพอกยาสมุนไพรให้เขา  ปากเธอเอ่ยสรรพคุณของยาเจื้อยแจ้ว

      ใบสาบเสือเป็นยาสมุนไพรได้ค่ะ...ธรรมชาติเขาสรรค์สร้างสิ่งที่เหมือนกันให้อยู่ใกล้กัน  สิ่งที่เอื้อกันเอาไว้ใกล้กัน  เมื่อมีสิ่งที่มีพิษแถวไหน แถวนั้นย่อมมีตัวถอนพิษอยู่ด้วย มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาตินะคะ ที่ไหนที่มีทาก  มีปลิง  ที่ตรงนั้นจะมีใบสาบเสือค่ะ เพราะมันจะเป็นตัวแก้พิษของปลิงและทาก ช่วยหยุดเลือดได้  

      เสียงที่ลอยออกมาจากปากของสาวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาดังมาอย่างต่อเนื่อง   แต่เขาแทบไม่ได้ยิน  แทบจำไม่ได้เลยว่าหล่อนพูดอะไรออกมา  ก็จิตใจของเขา  สติ สมาธิของเขาลอยวนอยู่ที่ใบหน้าและริมฝีปากบางของเธอ   ชายหนุ่มก้มหน้าลงใปใกล้ๆ ข้างแก้มของหญิงสาว   ลมหายใจร้อนผ่าวไล้ผิวแก้มเนียนเบา ๆ  ญดารับรู้ถึงความผิดปกติของคนเจ็บ  เธอจึงเงยหน้าขึ้นทันที   ไฟเอาจมูกชนแก้มหญิงสาวอย่างรวดเร็ว  มันไม่ใช่อุบัติเหตุ  มันไม่ใช่เหตุบังเอิญมันเป็นความตั้งใจของเขาที่ทำให้เป็นเหตุบังเอิญมากกว่า เสร็จแล้วเขาก็ทำหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

      ญดาสะดุ้ง  มองหน้าชายหนุ่มแบบงง ๆ  แต่ตัวเขากลับไม่ได้แสดงความสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย  เธอจึงได้แต่บอกกับตัวเองว่า  มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเพราะเธอเงยหน้าขึ้นมาเร็ว เขาเลยหลบไม่ทัน มันไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เคยเป็น  เขาก็แค่เป็นคนที่สอนเธอให้เขียนนิยายให้เป็นเท่านั้น

      คุณเตรียมมาด้วยเหรอ ไอ้ใบสาบเสือนี่ คุณรู้ว่าผมจะโดนทากดูดเลือดรึไง  ถึงได้เตรียมมันมา?

      ไม่หรอกค่ะ  ฉันไม่ได้เตรียมมาจากบ้าน  มาหาเอาแถว ๆ นี้แหละ ฉันเห็นฝนตกก็เลยคิดว่าทากอาจจะออกอาละวาด   ก็ฉันเห็นคุณบอกว่าคุณกลัวทาก  เคยโดนทากดูดเลือด  ฉันเดินผ่านต้นมันพอดีเลยหเด็ดติดมือมาด้วย

      เอาเท้าคุณมาดูซิ  เลือดคุณหยุดแล้ว  นอนเถอะค่ะฉันง่วง  พรุ่งนี้ฉันจะเขียนนิยายเพิ่มให้คุณดูอีกทีวันนี้คุณก็ดูแค่นั้นก่อนก็แล้วกัน  พูดจบหญิงสาวก็สอดตัวเองเข้าถุงนอนและห่มผ้าผืนบางของเธอทับอีกชั้นหนึ่ง หันหลังให้ชายหนุ่มและหลับตาลงทันที

       

      อากาศหนาวเย็นแทรกเข้ามาในผ้าห่ม  พื้นดินที่ชื้นกว่าทุกวันเพิ่มความเย็นให้มากขึ้น  ร่างสองร่างโอบกอดกันนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าผืนใหญ่  

      เมื่อคืนหลังจากที่ไฟคิดว่าญดาหลับไปแล้ว  เขายังคงลืมตาในความมืด  คิดวกไปวนมา สำรวจหัวใจของตัวเอง เขาคิดยังไงกันแน่ถึงได้ทำแบบนั้นออกไป เขาหวังว่าคนที่นอนข้า ๆ จะไม่คิดอะไรมากนะ  แต่ความจริงแล้วเขาอยากให้หล่อนคิดหรือเปล่านะ หรือในความเป็นจริงแล้ว  เขาก็อยากให้หล่อนรู้เหมือนกันว่าเขาก็รู้สึกแปลกๆ  ชายหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่นอนในถุงนอน  ความสงสารเกิดขึ้นจับใจที่เห็นเธอคุดคู้ เขาจึงรูดซิบถุงนอนออกเอาผ้าผืนเล็กห่อตัวให้และใช้ผ้าผืนใหญ่ของเขาห่มทับไปอีกที  เขาอยากกอดหล่อนให้หล่อนหายหนาว เขาอยากให้หล่อนอบอุ่นอยู่ในอ้อมอกเขา แล้วอีกคนหนึ่งที่กำลังจะมาล่ะเขาอยากทำแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า ใช่สินะเขาก็เคยนอนกอดคนนั้นเหมือนกัน... ชายหนุ่มคิดไม่ตก  หาคำตอบไม่ได้  ได้แต่สั่นหัวไปมาแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจดึงร่างบางในถุงนอนเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเอง

      ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวซึ่งคนที่นอนกอดเธอคิดว่าเธอหลับ จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้หลับอย่างที่เขาคิด  ตัวเธอเองรู้สึกสับสนแต่เธอไม่ได้สับสนความรู้สึกของตัวเอง  เธอสับสนกับความรู้สึกเขาต่างหาก  เวลาเขาแสดงออกมาเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกอะไร  แต่บางครั้งกลับเหมือนเขาพยายามสื่ออะไรออกมาสักอย่างให้เธอรู้  เหมือนกับที่เขาห่มผ้าให้เธอ  ดึงเธอเข้าไปกอด  จับมือเธอให้เข้าไปกอดเขา  แต่พอเธอรู้ตัวเขากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เธอสับสนไปหมดไม่รู้ว่าความจริงเขารู้สึกอย่างไรกันแน่  แล้วเธอต้องทำตัวอย่างไรต่อไป  น้ำตาของหญิงสาวไหลรินอาบแก้ม  หัวใจที่บัดนี้วูบหวิวเหมือนเธอถูกโยนขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาอย่างรวดเร็ว  หัวใจมันหล่นหายไประหว่างทางที่เธอถูกทิ้งลงมา  เธอนอนอยู่ที่พื้นเย็นเยียบเหมือนคนไร้หัวใจ...

       

      ผู้คนบนเขาเริ่มคึกคักอีกครั้งเมื่อล่วงมาถึงวันสุดสัปดาห์อีกรอบ  ญดาเหลือเวลาอีกสองวันบนภูเขาแห่งนี้กับผู้ชายชื่อไฟ   เธอจะเก็บเวลาแห่งความทรงจำ   สถานที่ที่เธอรู้แล้วว่าคงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอย่างที่เขาได้บอกไว้แต่แรกเอาไว้ในหัวใจ   เก็บเอาไว้เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ   สรรค์สร้างจินตนาการในการเขียนนิยายรักที่เธอจะเขียนมันออกมาจากหัวใจทุกครั้งสำหรับคนที่มีรัก

       

      หลังจากที่เขานอนกอดเธอมาตลอดคืน ตื่นเช้าขึ้นมานั่งดื่มกาแฟด้วยกันตามปกติที่เคยทำ เขาไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา  เวลาผ่านไปไม่นานนักตรงหน้าของญดามีสาวสวย ร่างสูงโปร่ง  ตาคม ผมยาวยืนอยู่ในชุดทะมัดทะแมงเหมาะสำหรับเที่ยวบนเขาเดินเข้ามาทักทายผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เธอ  พร้อมกับแนะนำตัวว่ากับเธอว่า  ฉันชื่อฟ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณญดา  ฉันเป็นแฟนของไฟค่ะ...  เธอเพิ่งเดินทางมาถึงเพื่อมาสมทบกับไฟที่เขาสองคนนัดกันไว้ก่อนไฟจะมาเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

       

        ไอซ์ครับ...วันนี้ผมจะพาฟ้าไปเที่ยวนะเราจะไปที่น้ำตกกัน..ไอซ์จะไปด้วยไหม?  หรือว่าจะเขียนนิยายอยู่ที่นี่?  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างการรับประทานอาหารเช้ากันสามคนที่หน้าเต็นท์ 

      ใบหน้าหญิงสาวระบายยิ้มน้อยๆ แต่ดวงตาที่มองมาที่ชายหนุ่มแฝงไว้ด้วยความเศร้า  ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ในอกเสียงเธอตอบออกมาสั่นเล็กน้อย  

      ไม่ไปได้ไหมคะ  ฉันว่าจะนั่งเขียนนิยายที่ฉันบอกคุณไว้เมื่อคืนให้คุณดูให้อีกสักสองสามบทก่อนลงเขาค่ะ  ถ้าไปเที่ยวด้วยคงไม่ได้ให้คุณได้ดูเพิ่มแน่ ๆ เลย

      เอางั้นก็ได้ครับ  เพราะผมคงไม่ได้ไปไหนไกล แค่จะพาฟ้าไปน้ำตกที่เดิมที่เราไปนั่นแหละถึงคุณไปอีกก็คงไม่ได้อารมณ์ในการเขียนนิยายเพิ่มขึ้นเพราะมันก็เหมือนเดิมไม่แตกต่างจากเมื่อสองสามวันก่อนเท่าไหร่หรอก  ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ  ไม่ได้หันไปมองหน้าคนฟัง

      ค่ะ...คงไม่แตกต่าง หญิงสาวก้มหน้าน้อย ๆ ตอบกลับชายหนุ่ม   สำหรับคุณมันคงไม่แตกต่าง แต่มันต่างไปแล้วสำหรับฉัน  อารมณ์รักที่ฉันเขียนในวันนั้นเป็นอารมณ์รักที่มีแต่รอยยิ้มแต่ถ้าเป็นวันนี้คงมีหยาดน้ำตา  เธอตอบออกมาแค่นั้นแต่สิ่งที่เธอคิดมันมากกว่าที่เขาจะมีโอกาสได้รับรู้  เพราะมันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจของเธอที่บัดนี้มันไม่มีประโยชน์ที่เธอจะคิดถึงมันแล้ว

       

      บทนิยายของเธอที่คิดไว้แต่แรกว่าจะจบลงวันนี้แต่ไฉนมันไม่จบลง  สุดท้ายต้องเพิ่มเข้ามาอีกหลายบทและเป็นบทของเธอจริง ๆ  บทสรุปของหัวใจที่เป็นนิยายรักของคนอื่นไม่ใช่ของญดา...ดั่งที่เคยคิด  เพราะญดาเป็นเพียงแค่คนเขียนนิยาย ไม่ใช่นางเอกนิยาย ในวันแรกหญิงสาวคิดว่าเธอเป็นนางเอกแต่เธอยังไม่กล้ามีพระเอก วันนี้มีเขาเป็นพระเอกในนิยายแต่นางเอกกลับไม่ใช่เธอ

       

      ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลอยต่ำ  แดดอ่อนแสงลงราวกับคนอ่อนแรง   นกกาบินกลับรังเป็นกลุ่ม ๆ สิ้นสุดแห่งวันทุกสิ่งอย่างย้อนกลับไปจุดเดิม  ชีวิตใด ๆ  ก็ไม่แตกต่างจากทุกสรรพสิ่ง   สุริยาที่ฉายแสงแรงกล้าหาผู้ใดเปรียบได้แต่สุดท้ายกาลเวลาต่างหากที่เป็นฝ่ายควบคุม  ต่อให้เจิดจรัสแค่ไหนก็ต้องอับแสงลงพร้อมกับกาลเวลา   คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เธอคิดว่าจะได้นอนข้างเขาและอาจเป็นคืนเริ่มต้นสำหรับอนาคต แต่เมื่อถึงเวลาที่ตรงนั้นกลับไม่ใช่ของของเธอ   ร่างที่เคยสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บ  เวลานี้ยิ่งกว่าเหน็บหนาว  มันร้าวลึกซอกซอนไปถึงขั้วหัวใจ ใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มแต่หัวใจกลับถูกแผ่คลุมด้วยน้ำตา

       

      ผมหวังว่าจะเห็นนินายรักโรแมนติกที่เขียนโดยญดาขึ้นบนชั้นหนังสือในเวลาไม่นานนี้นะครับ  ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้คุณตลอดไป  ไฟเอ่ยกับหญิงสาวก่อนจะขึ้นรถไฟเที่ยวกลับมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครฯ อันเป็นที่พักพิงของเขาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งข้างกาย  ญดายืนมองรถไฟเที่ยวนั้นจากไปจนลับสายตา

       

      แก๊ง...แก๊ง แก๊ง...แก๊ง  เสียงระฆังเสียงเดิมดังขึ้นมาไม่แตกต่างจากชีวิตของหญิงสาว  รถไฟเป็นสิ่งที่นำพาเธอมาและอีกเช่นกันที่รถไฟกำลังจะนำพาเธอกลับไป  ทุกสิ่งอย่างเหมือนเดิม  มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง หัวใจของญดา

       

      นิยายรักของญดา ครึ่งทางของหัวใจ พอถึงบทอวสานมันกลับไม่ใช่ครึ่งทางอย่างที่เธอคิด  ใช่สิ..เขาใหญ่ไม่ใช่กึ่งกลางระหว่างกรุงเทพฯ กับอุดรฯ  เธอเดินทางมาไกลกว่า  บัดนี้หัวใจของเธอย่อมเจ็บปวดมากกว่า....หัวใจรักของเธอ...ของผู้หญิงชื่อญดา  นี่ต่างหากชื่อนิยายเรื่องแรกของญดาที่ไฟเป็นคนสอนให้เธอเขียนบนภูสูง...ใบไม้เขียว...อากาศหนาว ...หัวใจรักของญดา...   

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×